วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น วงดนตรีที่มีเขา..และชนวน



ฉันอดเป็นห่วงอนาคตลูกชายของตัวเองเสียไม่ได้.. เขากำลังโต กำลังเรียนรู้ กำลังก้าวย่างอยู่บนหนทางของนักสู้ ฉันเคยปลูกฝังและชี้นำให้เขาได้รู้และเข้าใจถึงโลกและชีวิต.. เขารักและตั้งใจที่จะเดินตามรอยฉัน.. ร่องรอยของนักต่อสู้ เพื่อชีวิต.. และสังคม

ทุกวี่วันของเขา (ลูกชาย) ผูกพันด้วยการเรียนรู้ เดินทางและเสพสื่อศิลป์จากอุดมคติของศิลปินหลายๆ คนที่ฉันเคยแนะนำ รวมทั้งเขา (ศิลปิน).. ที่ฉันเคยประทับใจ

ฉันผิดหวังในตัวเขา.. ศิลปินที่เคยเป็นดั่งหนึ่งในดวงใจ ผู้มากด้วยพรสวรรค์บวกกับความสามารถในการบรรเลงบทเพลงเคียงข้างคนฝัน และประชาชน.. แทบไม่น่าเชื่อ ถึงอุดมการณ์ที่เคยสอดแทรกอยู่ในท่วงทำนองและเนื้อร้องของเพลงที่เขาเคยแหกปากกู้ก้อง บัดนี้ดูเหมือนจะสวนทางกัน ความเชื่อและชีวิตของเขาไม่เป็นเช่นนั้น..

ฉันเคยหลงใหลและทึ่งในตัวเขา.. ศิลปินผู้เคยเต็มไปด้วยพลังฝัน และอุดมการณ์ของการยืนอยู่เคียงข้างประชาชน เขากลายเป็นแบบอย่าง และทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่อขบวนการคนหนุ่มสาวในเมืองไทย รวมทั้งตัวฉัน..

ยังจำได้เสมอ..ถึงอุทาหรณ์ต่างๆ ที่ฉันเคยได้สดับจากมนต์เพลงที่เคยขับขานตั้งแต่วัยเยาว์ พ่อชอบเปิดเพลงจากวงดนตรีที่มีเขา.. เป็นนักร้องนำกล่อมฉันตั้งแต่ยังเด็ก เสียงของเขามีพลัง บวกกับเนื้อหาของเพลงที่กินใจ และมีส่วนในการบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ยากของประชาชน พ่อให้ฉันฟังบ่อย อีกทั้งยังอธิบายเรื่องราวในบทเพลงให้ฉันได้เข้าใจ พ่อบอกประเทศเรามีวงดนตรีอย่างนี้บ้าง ทำให้สังคมจะได้ไม่ลืมความยุติธรรม.. ตั้งแต่นั้นมา วงดนตรีที่มีเขา จึงกลายเป็นตำนานที่ยังคงมีชีวิตชีวาเสมอ อย่างน้อยก็ในจิตใจของฉัน..

จิตใจของฉัน.. ดั่งทะเลที่ไม่เคยเหือดแห้ง พลังจากบทเพลงของเขาหนักแน่นเยี่ยงเกลียวคลื่นในทะเลที่ยังคงโถมซัดชายฝั่งอยู่สม่ำเสมอ ทุกๆ ครั้งที่ได้ยินเสียงเขา บวกกับท่วงทำนองจากวง... ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ฉันรู้สึกมีพลังและกำลังใจล้นเหลือที่จะต่อสู้กับชีวิต และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม.. เขามีส่วนทำให้ฉันได้รู้สึกถึงความงามแห่งธรรมชาติ เข้าใจสังคม และรู้จักตัวเอง..

ตัวเอง.. ที่เคยเป็นดั่งนกน้อยล่องลอยตามสายลม เคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยว และหนทางที่มืดมน ฉันเคยรู้สึกเช่นนั้น เช่นเดียวกับนกโชคร้ายที่เคยหลงเวียนวนอยู่บนผืนฟ้าเหนือน่านน้ำในทะเลแห่งดวงใจของตัวเอง..

บทเพลงที่มีเขา.. ขับร้องและบรรเลง ล้วนเคยเต็มไปด้วยเนื้อหาที่สอดแทรกเรื่องราวของผู้ทุกข์ทน ความอัปยศในสังคมที่เกิดจากนักการเมืองที่โกงกิน การทำลายธรรมชาติ และแนวทางแห่งสันติ.. เหล่านั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นแนวทางและกำลังใจอย่างล้นเหลือให้บุคคลและกลุ่มองค์กรหลายๆ กลุ่มที่ร่วมกันผลักดันความเป็นธรรมและสันติแด่สังคม

เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน.. ผู้ที่ไม่เคยจับงานชิ้นไหนเลยในชีวิต นอกเหนือจากการทำงานเพื่อสังคมและการร่วมผลักดันสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฉันยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้ ก็ด้วยดวงใจที่เข้มแข็ง อดทน และสู้ บทเพลงของเขาหลายต่อหลายผลงานมีส่วนอย่างยิ่งทำให้ฉันมีพลังและเข้าใจในหนทางของการทำงานมวลชน ฉันพยายามสร้างความเข้าใจต่อตัวเองในหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับมวลชน เกี่ยวกับคนท้องถิ่น และสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องของศาสนา.. บรรทัดฐานอันมั่นคงที่คอยกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตสู่ความดีงามของมวลชน ฉันได้สัมผัสและรับรู้ถึงสันติที่แท้จริงของคนและสังคมที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ..

จนวันหนึ่ง.. ท่ามกลางสภาวะของการพยายามปรองดองรอยแยกของความเข้าใจผิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชื่อในศาสนาของคนท้องถิ่นในสามจังหวัดชายแดนใต้ หลายคนเคยเห็นเป็นสาเหตุของสถานการณ์แห่งสงครามและความไม่สงบต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลายๆ หน่วยงานทั้งในพื้นที่และภาครัฐพยายามที่จะหาทางแก้ไข และสร้างแนวทางประสานความเข้าใจ ปลอบโยน และสรรสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยการพยายามผลักดัน และส่งเสริมผู้คนในท้องถิ่นให้ได้มีสิทธิ์ที่จะนับถือและดำรงตนตามวิถีแห่งความเชื่อของตัวเอง ภายใต้แนวทางของความเข้าใจและการยอมรับซึ่งกันและกัน.. สถานการณ์ความเข้าใจเริ่มส่อเค้าที่จะดีขึ้น แม้เหตุการณ์ความรุนแรงจะเกิดขึ้นบ้าง.. ซึ่งอาจเป็นเพราะสาเหตุบางประการที่ยังรอคอยการเข้าถึงอย่างจริงจัง..

แต่เขา.. (ศิลปิน) กลับออกมาให้สัมภาษณ์สื่อสาธารณะถึงมุมมอง ทัศนคติ และความเชื่อของตัวเอง.. เขานำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับโลก ชีวิต และความเชื่อของตัวเอง ในแบบที่เขาเป็น (ซึ่งน่าสนใจ) บางอย่างดูน่าเชื่อถือ แต่ที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเหมือนการลบหลู่ความเชื่อของผู้อื่น เขาวางท่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ถึงขั้นยกศาสดาและคัมภีร์ที่ผู้คนต่างนับถือขึ้นมาลบหลู่.. ฉันตกใจเมื่อทราบข่าว..ทั้งแปลกใจ เขากล้าทำเช่นนั้น..

เรื่องดังกล่าวสร้างความโกรธเคืองแก่ผู้เชื่อและนับถือต่อศาสนาที่เขา (ศิลปิน) ได้อ้างถึง จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ผู้นำศาสนาและคนในท้องถิ่นหลายคนออกมาแถลงการณ์ และวิพากษ์วิจารณ์..

ส่วนฉัน.. คนที่เคยยึดเขาเป็นแบบอย่างของการทำงาน เชื่อมั่นและศรัทธาในความตั้งใจสร้างผลงานของเขา ฉันอดที่จะเป็นห่วงวงดนตรีที่มีเขาไม่ได้ ฉันเคยชื่นชมมาตลอด..

งานของฉัน และสถานการณ์ในพื้นที่..ทุกภาคส่วนกำลังทะนุถนอมหนทางของการปรองดอง เพื่อให้เกิดสันติ.. สิ่งนี้ช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับแรงกระแทกที่เกิดขึ้น..

ลูกชายของฉัน.. เขากำลังโต กำลังเรียนรู้ที่จะสร้างจุดยืนของตัวเองในสังคม..

ฉันผิดหวังกับกลุ่มศิลปินที่มีเขา..เคยกู่ร้อง..

เรือนศิลป์กะรักษ์, พฤศจิกายน 2554

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น ฉันและแสงแรกของวัน


อีกเช้าวันหนึ่งที่สดชื่น.. อีกเช้าวันหนึ่งที่เป็นดั่งพลังให้กับฉัน และคงเป็นอีกเช้าวันหนึ่งซึ่งชีวิตฉันยังคงดำรงอยู่ได้.. โดยไม่มีเขา..

เขาจากเราไปนานมากแล้ว ไม่ทิ้งร่องรอยหรือเหตุผลใดๆ ไว้ให้ระลึกถึง ฉันและครอบครัวได้แต่ฉงนกับเรื่องราวการจากไป เขาบอกแค่มีความจำเป็นบางอย่างที่จะต้องเข้าเมือง พกพาเพียงสัมภาระบางส่วน กับรถเก๋งคันงาม.. แล้วเราก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเขาเลย ไม่มีแม้จดหมายที่จะมาบอกกล่าวให้เราพออุ่นใจ เราเพียงหมั่นสวดมนต์และระลึกถึงเขาบ้าง หรือบางครั้งฉันเองก็พยายามหักห้ามใจเสีย..

เขาเคยบอกชอบที่นี่ อยากอยู่ใช้ชีวิตเป็นคนที่นี่ หลังจากพ่อและแม่เห็นร่วมที่จะให้เราทั้งสองได้ครองเรือนกัน โดยมีญาติและเพื่อนบ้านหลายคนร่วมเป็นพยาน พวกเขาเห็นดีเห็นงามและพอใจในความเหมาะสมของเรา.. เราใช้ชีวิตร่วมกัน ทำมาหากิน ประสบสุขและทุกข์ร่วมกันมาหลายปี จนฉันให้กำเนิดลูกชายคนหัวปี.. เขาพอใจทุกๆ อย่างที่นี่ อยากย้ายมาดำรงชีวิตร่วมกับเราอย่างถาวร..แต่แล้วเขากลับหายไป.. หายไปพร้อมสัญญามากมายที่ให้ไว้กับคนที่นี่ หายไปอย่างไร้ร่องรอยใดๆ..

หลายปีก่อน.. เราเจอกันที่นี่ เขาเข้ามาพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกสามสี่คน มาตกลงว่าจ้างพ่อ ตัดไม้ในป่าโกงกางเข้าเตาถ่านส่งขายปีนัง สมัยนั้นผืนป่าบ้านเรายังสมบูรณ์ พันธุ์ไม้มีหลากหลาย ขนาดลำต้นโกงกางโตและสูง ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ พอรัฐสั่งปิดสัมปทานป่า เราก็ไม่เห็นร่องรอยของไม้ใหญ่อีกเลย เห็นเพียงหลุมถ่าน ซากไม้ หัวตอและไม้ตะบูนเล็กๆ ที่ขึ้นแซมโกงกางขนาดลำแขน..

เราเคยชื่นชมเขาว่าเป็นคนขยัน มีอัธยาศัยที่ดีต่อคนรอบข้าง บุคลิกคนเมืองที่ไม่ถือตัว เข้ากับทุกๆ คนในหมู่บ้านได้ และพยายามที่จะเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย เขามีความตั้งใจสูงที่จะย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ หลังจากที่ได้ร่วมงานกับพ่อ และผูกพันกับฉัน เราต้อนรับเขาเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวอย่างว่าง่าย พ่อและแม่เห็นร่วมและยินดีอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แต่งงานอย่างเรียบง่ายตามธรรมเนียมมุสลิม และดำรงชีวิตร่วมกัน..

จนเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยน.. รัฐสั่งปิดป่าสัมปทาน..หลังผืนป่าโกงกางแถบชายฝั่งทะเลเกือบราบเป็นหน้ากลอง หลายนายทุนเลิกล้มกิจการเรือขนส่งถ่าน ชาวบ้านหลายคนซึ่งเคยเปลี่ยนอาชีพจากการออกทะเลมาตัดไม้เผาถ่านก็พลอยตกงาน ป่าทั้งผืนหลงเหลือเพียงร่องรอยของการถูกบุกรุก และตอไม้ บนเขตดินดอนในป่าเห็นเพียงหลุมถ่านร้าง ฝูงปลา ปูและสัตว์น้ำหลายชนิดเริ่มหายาก ชาวบ้านหลายๆ คนว่างงาน..บางคนเผชิญปัญหาเรื่องการทำกิน หลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน..

รวมทั้งจิตใจของเขา.. ซึ่งฉันเคยรู้จักและผูกพันในฐานะของผู้ใจบุญและคนรัก.. เขากระวนกระวาย และหงุดหงิดง่าย จนสร้างปัญหาการอยู่ร่วมกันในครอบครัวเราเสมอ เขาเริ่มมีปัญหากับญาติของฉัน กับแม่และพ่อของฉัน จนทุกๆ คนเริ่มที่จะหน่ายในตัวเขา..

หลังจากนั้นไม่นาน เขาเลยจากไป.. ปล่อยครอบครัวของฉันเผชิญกับหนทางชีวิตใหม่อย่างเดียวดาย พ่อหวนกลับอาชีพออกทะเลอีกครั้ง แต่ในฐานะของลูกเรือ ไม่ใช่เจ้าของเรืออีกแล้ว หลังตัดสินใจขายเรือไปด้วยความหวังใหม่ซึ่งเคยแขวนไว้กับอาชีพเผาถ่าน แม่เข้าเป็นลูกจ้างในฟาร์มกุ้งที่เกิดขึ้นมากมายบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นเรือกสวนไร่นาในหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนทยอยพาตัวเองย้ายถิ่นฐานไปค้นหาหนทางทำมาหากินยังแหล่งอื่นๆ..

ส่วนฉัน..หญิงม่ายกับลูกชายคนแรก ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายตามประสา อยู่กินร่วมกับพ่อและแม่โดยรับหน้าที่เป็นแม่บ้าน ทั้งดูแลลูก และพยายามที่จะไม่คิดถึงเขา..

แต่ก็คอยแต่จะแพ้จิตใจตัวเองเสียทุกครา ฉันลืมเขาไม่ลง ทุกๆ วันมันมีอะไรที่เข้ามา แล้วทำให้ต้องระลึกถึง แม้ในยามหลับนอน บางคราฉันฝันถึงเขา ฝันเห็นพ่อของลูกและเสียงหัวเราะจากการหยอกล้อตามประสา พ่อและลูกชาย.. ฉันพยายามอดกลั้นแล้วทำจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง ให้ลูกชายได้เห็นถึงความอดทน ให้เขาได้ยึดไว้เป็นแบบอย่าง.. แต่ก็ได้เพียงนึกคิด.. ดวงใจฉันมันอ่อนแอเกินไป..

ฉันรู้สึกตัวจากฝันร้ายทุกๆ ครั้ง ก่อนดวงตะวันจะโผล่พ้นจากขอบฟ้าหลังผืนป่า อาบน้ำและละหมาดซุบฮิ์ ก่อนพาตัวเองมานั่งรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าตรงระเบียงหลังบ้าน ผืนน้ำในลำคลอง ณ ช่วงเวลานั้นนิ่งงันและสงบ ผิวน้ำฉายภาพสะท้อนจากผืนฟ้าเห็นเหมือนแผ่นกระจกบานใหญ่ ผืนป่าสงบและมีลมพัดโชยบางๆ เสียงปลาในคลองดำผุดอยู่เบาๆ..

ฟ้าฝั่งตะวันออกฉายแสงสีส้มทาบทาความมัวหม่น.. ม่านเมฆสีควันบุหรี่ถูกลำแสงสาดจนแลเห็นเป็นสีชมพู ก่อนพลังแสงยามอรุโณทัยจะสาดส่องขับไล่ความมืดจนหายไปเกือบทั้งฟ้า..

ฉันอุ่นใจและรู้สึกมีพลังทุกครั้ง..กับแสงแรกของวัน

เรือนศิลป์กะรักษ์, พฤษภาคม 2554

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น คนคอย


โรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว.. ฉันแค่ไม่อยากให้ลีน่าต้องน้อยหน้าใคร ลูกเราต้องมีโอกาสสวมชุดนักเรียนใหม่บ้าง.. ฉันคิดเห็นแค่นี้เอง ไม่นึกเลยว่าบังจะเคืองถึงเพียงนี้..

บังไม่รอฉัน.. แค่เก็บเสบียงกรังบางส่วนใส่เรือออกไปพร้อมกับลูกน้องอีกสอง น้ำในคลองยังขึ้นไม่เต็มที่ พยายามเร่งขนสัมภาระอีกส่วนหนึ่งตามมา พอถึงท่าเรือ ก็เห็นเรือบังออกไปไกลมากแล้ว.. ฉันไม่เข้าใจบังเลยสิ้นดี..

ฉันกับบังหรนแต่งงานกันมาเกือบสิบปี ก่อร่างสร้างครอบครัวมาด้วยการออกทะเลลากอวนปลาทราย งานมันทรหดน่าดู ไหนจะต้องพาเรือแหวกเกลียวคลื่น ลม ท้องฟ้าที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไหนต้องเสาะหาแหล่งปลาชุม.. งานมันหนักและเสี่ยงเหลือเกิน บังเองก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยเกี่ยงเลยสักครั้งที่จะลุกขึ้นพาตัวเองออกผจญทะเลใหญ่ ก่อนเราจะมีลีน่าเป็นลูกสาวคนแรก ฉันเองต้องออกทะเลกับบังอยู่ทุกครั้ง จนเดี๋ยวนี้ทั้งดูแลลูกสาวและงานบ้าน ฉันเลยต้องอยู่เป็นแม่บ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบังและลูกน้อง

ทุกครั้งก่อนบังจะออกเดินทางในตอนเที่ยงคืนซึ่งน้ำในคลองจะขึ้นจนล้นตลิ่ง พอให้การเดินเรือสะดวก ฉันจะปล่อยให้บังและลูกน้องนอนพักเอาแรงเต็มที่ตั้งแต่เย็น ที่เหลือเป็นหน้าที่ฉันคนเดียวที่จะต้องจัดเตรียมข้าวของ เสบียงกรัง จัดห้องเก๋งเรือ วิดน้ำเรือ ทั้งหาซื้อน้ำมันมาเตรียมความพร้อมไว้.. รอจนถึงเวลา ก็จะปลุกบังและลูกน้องให้เตรียมออกเรือ.. เป็นเช่นนี้เสมอ เราช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน..

ถึงครั้งนี้ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบัง หรือฉัน.. เมื่อเช้าของวันที่บังจะเริ่มออกเรือ เราถกเถียงกันเรื่องการใช้เงิน.. บังยังไม่อยากให้ฉันใช้เงินในส่วนที่ไม่จำเป็นมากนัก ทั้งภาระเรื่องซ่อมแซมบ้านและค่าเช่าเรือยังหนักโข เราต้องเร่งเก็บเงินชำระเสีย..แต่ฉันเองก็มีเหตุผลเช่นกันหรอก..

ปีนี้ลีน่าขึ้น ป. สามแล้ว อย่างน้อยแกก็ต้องมีโอกาสสวมชุดนักเรียนใหม่ได้แล้ว.. ฉันไม่อยากให้ลูกต้องน้อยหน้าใคร.. ลูกเราสวมชุดนักเรียนเก่าเกินไป สีเริ่มหมองแล้ว เปิดเทอมใหม่เช่นนี้ลูกเราคงดีใจที่ได้สวมชุดใหม่..

แต่บังหรนกลับไม่เห็นด้วย.. บังบอกเรายืดเวลาซื้อชุดใหม่ให้ลีน่าไปอีกหน่อย ค่าเช่าเรือที่ต้องสะสางกับเถ้าแก่มันใกล้กำหนดเข้ามาเต็มที รอบที่แล้วเราก็ให้ไม่ครบจำนวน ครั้งนี้จำเป็นต้องให้ตามอัตราแถมยังต้องเพิ่มเติมสำหรับงวดที่แล้วอีกจำนวนหนึ่ง.. ฉันเองก็เข้าใจบังอยู่หรอก..

ฉันอาจจะผิดเองแหล่ะที่ไม่ยอมปรึกษาบังก่อน..

ถึงวันนี้ ปาเข้าไปสิบห้าวันแล้ว.. บังหรนก็ยังไม่กลับ..

ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร.. ปกติป่านนี้น่าจะกลับเข้ามาแล้ว เที่ยวนี้บังหรนออกไปนาน กำหนดกลับสามวันที่แล้ว ถึงวันนี้ยังไม่เห็นวี่แวว..

ฉันตั้งหน้าตั้งตาคอยบังอยู่ทุกวี่วัน บางวันแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใจมันพะวงเรื่องบังอยู่ตลอด บังน่าจะกลับเข้ามาตั้งนานแล้ว ฉันไม่อยากคาดเดาเอาเองถึงเรื่องชะตากรรม ในใจครุ่นคิดเสมอว่าบังต้องกลับ ไม่วันนี้ ก็วันพรุ่ง..

เรือหลายลำกลับเข้าเทียบท่า พร้อมปูปลามากมาย ฉันก็หวังว่าเรือบังเองก็จะเป็นเช่นนั้น ฉันพอจะได้รับข่าวคราวความเป็นไปในทะเลจากกลุ่มคนเหล่านั้นบ้าง แต่ก็ยังไกลจากเรื่องของบัง น่านน้ำทะเลในหาปลายากสิ้นดี พวกเขาออกกันไปไกล ฝ่าคลื่นลมโหดๆ เสาะหาแหล่งปลาชุม ต่างคนก็ต่างกลับเลยกำหนดเช่นกัน.. บางคนบอกสาเหตุที่กลับช้าเพราะต้องแอบมรสุม อ้อมเรือไปทางทิศอื่น เดินเรือเลียบเกาะใหญ่ ระยะทางเลยไกลกว่าเดิม บางคนบอกช่วงนี้มรสุมแรงเกินกว่าจะเดินเรือกลับอย่างรีบเร่ง.. ลมสลาตันมันพัดพาคลื่นให้สูงหลายเมตร.. บังหรนอาจติดเกาะอยู่สักระยะรอจนมรสุมผ่านไป..ข่าวคราวเหล่านั้นเป็นแค่การสันนิษฐาน ไม่มีใครเจอบังหรนกับลูกน้องเลยสักคน..ใจฉันเสีย กลางคืนนอนไม่หลับ ได้แต่ภาวนาให้บังปลอดภัย..

ท้องฟ้าฟากตะวันออกวันนี้สีครามเจือด้วยเมฆบางๆ สีเทาอ่อน น้ำในคลองค่อยๆ ถูกหนุนเข้ามาจากทะเลใหญ่กำลังจะเอ่อล้นตลิ่ง ท่าเทียบเรือเหงา วังเวง.. ฉันมานั่งรอบังอยู่ตั้งแต่เช้าหลังส่งลีน่าไปโรงเรียน พยายามที่จะคิดแต่ในทางที่ดี หวังอย่างยิ่งวันนี้ที่จะเห็นเรือของบังกลับเข้ามาเทียบท่า แม้วันที่ผ่านมาจะก่อความรู้สึกสะเทือนใจแก่ฉันเพียงไร วันนี้ฉันเต็มไปด้วยความหวังที่จะเห็นบัง..

น้ำในคลองขึ้นเต็มที่แล้ว กำหนดเรือน่าจะเทียบท่าในเวลานี้.. หรือบังจะเถลไถลอยู่ที่ไหน ฉันมิอาจคาดเดาใดๆ ได้..

.................................................................

เรือนศิลป์กะรักษ์, เมษายน 2554

เรื่องสั้น เมาทะเล


ฟ้าทั้งผืนแดงยังกับเลือดนก เมฆสีคล้ำหนาทึบอุ้มน้ำไว้อย่างหนักหน่วง รอเวลาที่จะโปรยห่าลงมา คลื่นหัวเดิ่งโถมซัดหัวเรือให้ลอยสูงจนเกือบหงายคว่ำ ผมพยายามฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งตรงไปข้างหน้า รอบๆ ลำเรือมองไปไกลเห็นเพียงเกลียวคลื่นสูงต่ำสลับขึ้นลง

ทุกทิศทางเห็นเพียงเส้นตัดขอบฟ้าและน่านน้ำ เกลียวคลื่นขึ้นลงสูงกว่าลำเรือ มันยกลำเรือให้สูงขึ้น ก่อนโยนลงต่ำจนเห็นยอดสูงของคลื่นอยู่เหนือหัว ลมพัดแรงเกินจะบังคับให้เรือเดินตามเส้นทางได้ กระแสลมยากเกินคาดเดาถึงที่มา ทั่วสารทิศหาได้มีเกาะแก่งหรืออื่นใด ให้สามารถจับจุดได้ บนฟ้าเห็นเพียงเมฆหนาและผืนฟ้าบางส่วนตามช่องโหว่ของเมฆหนา..

พายุห่าใหญ่ก่อตัวหมุนละลิ่วอยู่ไกลๆ มันค่อยๆ หมุนเข้ามาใกล้.. ก่อนน่านน้ำเบื้องหน้าทั้งผืนจะก่อหลุมลึกลงไปใต้ท้องทะเล น้ำไหลวนพัดพาเรือทั้งลำไหลตามกระแส หลุมลึกค่อยๆ ดูดกลืนเรือทั้งลำให้จมลงสู่ความมืด.. ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปพร้อมกับลำเรือ..

แสงแดดจ้าสาดส่องม่านตาให้ปวดแสบ รู้สึกตัวเองนอนหงายทอดร่างอยู่บนผืนทรายอันร้อนระอุ กระพริบตาถี่ๆ สามสี่ครั้งแล้วหันหน้าหลบแสง ก่อนใช้ข้อศอกยันตัวเองให้ลุกนั่ง.. รอบกายเห็นเพียงควันโขมงอยู่ทั่วสารทิศ ร่องรอยของตึกรามบ้านช่องโดนเผาทำลายแลเห็นอยู่ไกลๆ พยายามลุกยืนขึ้นด้วยสองขาที่รู้สึกเหนื่อยอ่อน ก่อนพาตัวเองเดินทุลักทุเลไปทางด้านภูเขาสีเทาที่แลเห็นอยู่ไกลๆ ลมบางๆ พัดพาฝุ่นฟุ้งปลิว กลิ่นเหม็นบางอย่างโชยพัดแฝงมากับสายลมร้อน แดดจ้าจนผิวปวดแสบ ผืนฟ้าทอสีแดงก่ำ หมู่เมฆหนาทาบทาอยู่เหนือยอดเขา ซากรถและสิ่งปลูกสร้างหลายอย่างหักพังเกลื่อนกราดอยู่รอบๆ ซากกระดูกสิ่งมีชีวิตกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนกราด ผมก้าวเท้าทุลักทุเลเดินตรงไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่าบนผืนดินที่ร้อนระอุ แตกระแหง บนผิวดินก่อกระอายแดดเร่าร้อน กลิ่นเน่าเหม็นโชยมายั่วยวนอยู่ปลายจมูก..

พลันรู้สึกกระหายน้ำ.. รอบกายไม่เห็นแม้ร่องรอยของภาชนะที่สามารถเก็บกักน้ำเลย มีเพียงคูน้ำใกล้ๆ ที่เมื่อชะเง้อหน้าดูเห็นเพียงของเหลวสีเขียวเข้ม เต็มไปด้วยซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดลอยเหน่าฝืด.. ผมเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า เมฆสีดำทึบเริ่มก่อตัวอยู่ตรงยอดเขา มันค่อยๆ ก่อตัวใหญ่ขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายลอยเข้ามาใกล้ๆ จนบดบังผืนฟ้าทั้งผืนเหนือศีรษะ..

ลมเย็นพัดโชยมากระทบเนื้อหนังให้พอคลายร้อน ก่อนห่าฝนเม็ดสีแดงสดจะเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว หยดละอองของมันแหลมคมยังกับเข็ม ทิ่มแทงศีรษะและร่างกายจนปวดแสบไปหมดทั้งตัว ผมรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีวิ่งฝ่าห่าฝนเข้ามาหลบอยู่ใต้ซากบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก..

สภาพอากาศเริ่มหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก ผมนั่งหลังพิงฝาใช้แขนทั้งสองข้างกอดเข่า อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายแข็งทื่อ ยากที่จะเคลื่อนไหว ความหนาวเหน็บซึมซับกัดกินชีพจรให้หยุดนิ่ง หายใจแสบๆ อยู่ในโพรงจมูก หัวใจเต้นช้าลง ๆ รู้สึกตัวเองจางหายไปกับความมืด..

กลิ่นเหม็นคาวอบอวนอยู่ในโพรงจมูก.. รู้สึกตัวอีกครั้ง ค่อยๆ ลืมตาออก แหงนหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสะดุ้ง! ตกใจสุดขีด.. ผมกำลังนอนคว่ำอยู่บนระเบียงบ้านของตัวเอง ใช้มือยันร่างกายให้ลุกนั่ง เกาะราวระเบียง เพ่งมองไปยังลำคลองซึ่งตัดผ่านหลังบ้าน น้ำในลำคลองแห้งขอด ปู ปลา และสัตว์น้ำหลายชนิดล้มตายเกลื่อนอยู่ก้นคลอง ป่าโกงกางฝั่งตรงข้ามของคลองเหี่ยวแห้ง ไม่เห็นสีเขียวขจีปกคลุม เรือหัวโทงซึ่งเคยลอยเทียบท่าอยู่ริมคลองมีร่องรอยของการเผาทำลาย บางลำเห็นเพียงซากกงเรือที่ยังโชยควันบางๆ

ลุกขึ้นผลักประตูบ้านเข้าข้างใน สิ่งของเครื่องใช้ในบ้านโดนรื้อเพ่นพ่าน กระจัดกระจาย ผมกวาดสายตาดูไปรอบๆ กรอบรูปที่เคยถ่ายคู่ภรรยาหล่นแตกกระจาย เห็นเพียงภาพหมองๆ ซ่อนอยู่ใต้เศษแก้ว หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนพยายามตะโกนเรียกหาภรรยา.. ใจหายวับ เร่งฝีเท้าผลักประตูออกมาหน้าบ้าน พยายามเรียกและมองหาภรรยา.. ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตะโกนแล้วตะโกนอีก ยินแต่เสียงสะท้อนอยู่ไกลๆ.. รู้สึกถึงน้ำในตาที่เอ่อนองเบ้า..

รีบวิ่งออกไปบนถนนซึ่งตัดผ่านหน้าบ้านเข้าไปในเขตชุมชน ปากตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครทีคุ้นเคย ต้นไม้และกอหญ้าข้างทางแห้งตายไม่เหลือสักต้น บนถนนไร้รถราใดๆ แม้แต่แมว หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าใดแต่ก็เคลื่อนไปแต่ความรู้สึก.. ขาของผมไม่ถึงพื้น มันกวดอากาศอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไปไหน เพ่งมองดูรอบๆ เห็นทุกอย่างนิ่งงันอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่พยายามเร่งฝีเท้าหนักขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน.. พลันตัวผมกลับลอยขึ้น ลอยสูงขึ้นจากพื้นเหนือยอดไม้ เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากที่ไหนสักที่ มันเหมือนระงมอยู่ในเขตสวนยางใกล้ๆ ร่างกายลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนแลลงเบื้องล่างได้ไกล ผมเร่งฝีเท้าตัวเองอีกครั้ง ร่างกายก็ลอยสูงขึ้นตามกำลัง ลมบนโชยมาพัดให้ปลายผมปลิว สูดอากาศเบาๆ ได้กลิ่นคาวบางอย่างชวนสำรอก ยิ่งลอยสูงขึ้น เมื่อมองลงต่ำเห็นทุกอย่างเล็กลง ลมบนยิ่งแรงขึ้น แดดจ้าจากอีกฟากฟ้าสาดเข้ามาจังๆ จนร่างกายปวดแสบ ผมกางมือทั้งสองข้างออก พยายามกวัดแกว่งให้เหมือนปีกนก แต่ไม่เกิดผลใดๆ ร่างกายกลับลอยสูงขึ้นเหนือกลุ่มเมฆหนา เหนือลมบน สูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลุดออกนอกเขตโลก ความกดอากาศหนาขึ้น จนเริ่มรู้สึกอัดอัด ลมหายใจแสบร้อน เหนือท้องฟ้าเริ่มเห็นเพียงความมืดอยู่ไกลๆ ผมพยายามเพ่งมองกลับมายังโลก สีของมันเหมือนลูกไฟขนาดมหึมาที่กำลังเผาตัวเอง ตกใจสุดขีด ผมกรีดร้องโวยวายทั้งตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครอีกครั้ง แหกปากออกมากเท่าไหร่ ปากผมก็ค่อยๆ แคบลงๆ จนไม่สามารถอ้าออกได้ ตกใจ! ดิ้นรนแหวกม่านอากาศ พยายามใช้มือทั้งสองข้างฉีกปากตัวเองออก พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล น้ำตาเริ่มไหลลงอาบสองแก้ม ร่างกายยังลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ผมจากโลกมาไกลมากนัก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ น้ำตาไหลพราก สะอื้นไห้ ในใจนึกถึงแต่ภรรยา บ้าน และความเป็นไปบนโลก..

นิ่ง และพยายามปลดปล่อยตัวเองให้ลอยเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย กางขาและแขนออกจนสุด เงยหน้าหลับตา ปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลุดลอยไปตามชะตากรรม อากาศหนาวเหน็บเกาะกินร่างกาย ทุกๆ อวัยวะแข็งทื่อ ผิวหนังเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ลามเข้ามาทุกซอกทุกมุมของร่างกาย จนคลุมทุกส่วน ความหนาวสอดแทรกเข้าไปตามรูขุมขน มันชอนไชเข้าไปในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท หัวใจหยุดเต้นลงอีกครั้ง ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปกับความมืด..

สะดุ้ง! เหมือนร่างกายโดนเขย่าอย่างแรง นัยน์ตาเห็นแสงสว่างเจิดจ้า เสียงตะโกนเรียกชื่อผมก้องอยู่ในโสตประสาท รู้สึกปวดแสบอยู่ในหัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสู้แสง.. เห็นหน้าคนสามคนอยู่จางๆ คนหนึ่งกำลังโอบหลังยกผมอยู่ในท่านั่งยันเข่า อีกสองคนกำลังก้มหน้าจ้องมอง ผมจำพวกเขาได้แม่นยำ..

ผมถูกประคองให้ลุกนั่ง รู้สึกศีรษะหนักยังกับหิน ภายในรุ่มร้อนอย่างกับเพลิงเผาผลาญ ปวดเมื่อยไปตามแขนขา แดดจ้าสาดส่องความร้อนดั่งเปลวไฟโลมเลีย ลมทะเลโชยมาเบาๆ ยั่วกลิ่นเหม็นคาว บางคนสอบถามถึงอาการไข้ ผมไม่พร้อมจะตอบ ส่ายหัวเบาๆ แล้วยกเข่าขึ้นวางข้อศอก..

ลำเรือโยกขึ้นลงเบาๆ ตามระลอกคลื่น ผมพยายามกวาดสายตาแลรอบๆ ขณะเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนกลับเข้าที่ เรากำลังลอยลำเรือเลียบเกาะอยู่ฝั่งตะวันออก ผืนฟ้ากระจ่างเห็นเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ ทาบทาด้วยปุยเมฆขาวบางๆ น้ำทะเลสีมรกตสดชื่น ลมโชยมาเบาๆ พัดปลิวปลายเส้นผม นัยน์ตารู้สึกร้อนแห้งๆ..

พยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างพร่ามัว ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกปวดเจ็บอยู่ในศีรษะ ประคองตัวเองให้ลุกนั่งบนลังแช่ปลาให้หลังพิงฝาเก๋งเรือ สายตามองออกไปตรงปลายขอบฟ้า แสงแดดจ้าสาดน่านน้ำเห็นประกายแวววับเป็นทาง คลื่นลมเบาๆ โยกเรือขึ้นลงเป็นจังหวะ รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น แต่ยังปวดเมื่อยอยู่ตามแขนขา..

สงบนิ่ง หลับตาคิดอยู่พักใหญ่ ปล่อยใจไปตามแรงโยกของลำเรือ ลำดับความคิดและทุกๆ ภาพที่ได้เห็น น้ำตาซึมอยู่ในเบ้าตา แขนขารู้สึกร้อนผ่าว.. ลืมตาแหงนมองฟ้า.. ผมแค่ฝันไป!..

เรือนศิลป์กะรักษ์, เมษายน 2554

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น ความเป็นเขา


เสมือนกรุงเทพฯ ทั้งๆ เมืองโดนเผาวอดวายอยู่เกือบค่อนเดือน.. ก่อนฝนห่าใหญ่จะเทลงมาซะล้างเถ้าถ่านของซากปรักหักพังที่มอดม้วยเป็นผุยผงละลายไปกับน้ำไหลลงคลองแสนแสบ.. คราบปฏิกูลในคลองซึ่งเห็นอยู่ในผิวน้ำคลองแสนแสบฉายภาพให้เขารู้สึกเช่นนั้น และมันก็ยังเป็นเช่นนั้นมานาน แม้เขาจะห่างหายจากที่นี่เกือบสามปี กลับมาเห็นก็ยังรู้สึกเช่นเดิม มันยังดำสกมก น่าขยะแขยง กลิ่นเหม็นชวนอ้วก..แต่เขาก็เคยอยู่กับมัน เคยอยู่ใกล้ๆ มัน สูดดมกลิ่นของมัน และโดยสารพาหนะที่แล่นแหวกน่านดำทะมึนนี้อยู่ทุกวี่วัน..

เกือบสี่ปีเต็มที่เขาย่างก้าวออกจากตรงนี้ไป จากวันเวลาเดิมๆ ซึ่งผูกพัน กับมิตรสหาย และกับสถานะของการเป็นนักศึกษา.. พ่อและแม่ของเขาประสงค์เช่นนั้น เช่นเดียวกับพี่ๆ ของเขาอีกสามคนที่เคยมาหาหนทางก่อเกิดที่นี่ หนึ่งคนเดี๋ยวนี้คือครู ครูซึ่งเคยผ่านการบ่มเพาะทางการศึกษาอย่างเปี่ยมล้นจากที่นี่ อีกหนึ่งก็คือครู ครูสอนศาสนาที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตก็เคยมาแสวงหาหนทางอยู่ที่นี่ และอีกหนึ่งซึ่งมาเริ่มต้นชีวิตได้ดีจากที่นี่ จนตำแหน่งงานดีๆ ที่บ้านรอคอยวันเวลากลับ รับตำแหน่งอย่างว่าง่าย..จนเหลือแต่เขา..ลูกผู้ชายคนสุดท้อง เหมือนคนโชคดีที่เกิดมาท่ามกลางความพร้อมในหลายๆ ด้าน พ่อเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักเลงที่ใครๆ แถวบ้านก็เกรงขาม ผู้ซึ่งยึดครองทั้งที่ดินเปล่าและสวนยางอีกมากมาย

เขากลับมาที่เดิม ที่นี่.. ที่ที่เคยนั่งประจำสมัยเข้ามาเรียนและพักอยู่ย่านนี้ บนทางเท้าท่าเรือมหาดไทยริมคลองแสนแสบ มันพอมีเนื้อที่อยู่บ้าง พอเป็นร้านกาแฟ พอจัดวางโต๊ะเก้าอี้ พอเป็นที่ให้เขาและเพื่อนมาพบปะ มาพูดคุย มาดูสาว และมานั่งแม้ไม่มีประสงค์อะไรนอกจากนั่งจิบกาแฟ.. บนทางเท้าคอนกรีตขอบคลองแสนแสบยังเนืองแน่นด้วยผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ซ้ำหน้า เขาเข้ามานั่งยืดขาหลังพิงพนักอยู่ตรงเก้าอี้หันหน้าออกคลองแสนแสบ บนโต๊ะมีถ้วยกาแฟโชยควันจางๆ .. เขาสวมกางเกงยีนผ้าหนังไก่ยี่ห้อดีจากอเมริกา รัดรูปตรงเป้าถึงน่องและมาบานตั้งแต่เข่าถึงปลายขา ใช้เข็มขัดหนัง แกะลายอย่างดี ตรงหัวเข็มขัดทองเหลืองแผ่นวงรีขนาดจานรองถ้วยกาแฟฝังเงินรูปม้าพยศ เท้าสวมบูทหนังกลับ ส้นสูง.. เขาสวมเสื้อยีนผ้าหนังไก่สีคล้ายๆ กัน รัดรูปติดกระดุมเหล็กสวมทับเสื้อยืด ตรงหน้าอกเสื้อยีนปลดกระดุมออกโชว์สร้อยเส้นใหญ่ประดับด้วยเงินแยกออกมาเป็นช่อๆ คล้ายๆ ดอกจำปี ส่วนจี้เป็นรูปเกือกม้าห้อยอยู่เกือบกลางพุง ตรงข้อมือมีกำไลเงินฝังหินสีฟ้าอมดำเม็ดโตผิวลื่นเป็นมันแวววับ อีกข้างคล้ายกันแต่ตรงกลางถูกติดด้วยเรือนนาฬิกาข้อมือสั่งทำพิเศษ แหวนเงินรูปงูม้วนตัวรอบเม็ดหินสีเขียวอมดำถูกสวมไว้ตรงนิ้วนางข้างขวา..

ผมของเขาหยักโสก ตรงปลายหยิก ยาวลงมาเกือบสะเอว ถูกมัดรวมไว้เป็นระเบียบ ใบหน้าดูน่าเกรงขาม ผิวขาวอมเหลืองบางๆ สายตาถูกซ่อนไว้หลังแว่นสีชา ขอบแว่นสีเงินรูปไข่ ขาสปริงม้วนเกี่ยวไว้กับใบหู..

ถัดไปจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่มีเป้อย่างดี ใบใหญ่ถูกใส่สัมภาระไว้เต็ม แน่น.. ติดกันเป็นกระเป๋ากีตาร์สีดำถูกวางไว้บนพื้น.. ท่าเรือมหาดไทยขวักไขว่ไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา นักศึกษา คนทำงาน กรรมกร และขาจรต่างๆ บ้างเดินผ่านไปมา บ้างยืนรอเรือโดยสารไปยังแหล่งอื่นๆ ทุกๆ สายตาจำต้องแอบมองมายังเขา บางคนเพ่งมองเขาเสียนานจนเขารู้สึก แต่ไม่ได้สนใจไยดีอะไร เขายังนั่งยืดขา บางครั้งกระดิกเท้าเบาๆ ให้พอเป็นจังหวะ..

ฟ้าเหนือเมืองกรุงเริ่มถูกกลืนกินด้วยความมืด ตรงริมขอบฟ้าฝั่งตะวันตกถูกแสงสีส้มทาบทาบางๆ ก้อนเมฆสีหม่นกระจัดกระจายอยู่ปลายฟ้า นกฝูงหนึ่งบินผ่านผืนฟ้าทางทิศเหนือ ไฟจากตึกสูงๆ เริ่มสว่างไสว เสียงรถราบนท้องถนนยิ่งโกลาหลฟังไม่ได้ศัพท์ เรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ท่าเรือมหาดไทยเริ่มมีคนเบาบาง แต่ตรงทางเดินยังเนืองแน่น สวนทางกันไปมา ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บ้างมาเป็นคู่ ชายหญิง จับมือถือแขน ยังอยู่ในชุดนักศึกษา สะพายเป้ที่อาจอัดแน่นไปด้วยตำราเรียนหรือ..? บ้างเป็นกลุ่มคนหนุ่มที่มาในชุดเสื้อฟุตบอลกางเกงขาสั้น พวกเขาอาจตรงไปยังสนามกีฬาหัวหมาก.. ร้านรวงต่างๆ ในซอยยิ่งคึกคักกว่ายามเย็น เด็กหนุ่มสาวหลายคนเริ่มทยอยลงมาจากหอพัก บ้างยังอยู่ในชุดนอน บางส่วนอาบน้ำแต่งตัวลงมาเรียบร้อย แต่งหน้าแต่งตาพร้อมจะมุ่งหน้าไปไหนสักที่..? ในค่ำคืนนี้

รถเก๋งคันหรูสามสี่คันแวะเวียนเข้ามาตรงลานหน้าหอพักนักศึกษา จอดรออยู่สักครู่ ก่อนน้องสาวนุ่งสั้นใส่เสื้อรัดรูป หิ้วกระเป๋าหนังอย่างดี เดินด้วยรองเท้าหนังส้นสูงลงมาเปิดประตูเข้าไปนั่ง.. แล้วรถเก๋งคันงามก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป คันอื่นๆ ที่เข้ามาก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน..

จิกโก๋ผมยาวหลายคนเริ่มทยอยลงลิฟต์หอพักมานั่งทานมื้อเย็น..? หน้าตาแต่ละคนยังงัวเงีย บางคนในตาแดงก่ำ ผมเผ้ารึงรัง..นั่งกินข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม เสร็จก็แวะร้านค้า ซื้อบุหรี่ โค้กขวดใหญ่ และน้ำแข็งถุงกิโล หอบหิ้วขึ้นลิฟต์กลับห้องไป..

เด็กหนุ่มบางคนลงมานั่งที่โต๊ะถัดไปจากที่เขากำลังนั่งอยู่ ควักคอมพิวเตอร์แบบพกพาจากในเป้ขึ้นมาเปิดดู เลื่อนอุปกรณ์บางอย่างที่ต่อพ่วงกับตัวเครื่องไปมา หน้าตาดูเคร่งเครียด และจดจ่ออยู่แต่หน้าจอ เขาพยายามแง้มหน้าไปดูตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเด็กหนุ่ม เห็นตัวการ์ตูนสองตัวบนหน้าจอกำลังต่อสู้แลกวิทยายุทธ์กันอย่างเมามัน เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเขา ยังเลื่อนอุปกรณ์ต่อพ่วงไปมาอย่างชำนาญ มืออีกด้านกดปุ่มตรงแป้นพิมพ์ไปมา.. เขามองเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ ก่อนหันมองรอบๆ เห็นร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ อัดแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่บนเก้าอี้รูปทรงประหลาด หัวถูกครอบไว้ด้วยหูฟังอันใหญ่ ขณะสายตาเพ่งเล็งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือทั้งสองข้างไม่เป็นอันว่าง..เขาพอเข้าใจสถานการณ์..

ฟ้าทั้งผืนมืดมิด.. ตรงริมขอบฟ้ารอบด้านถูกแสงจากเมืองใหญ่โลมเลียขึ้นเป็นทางบดบังดวงดาวหลายดวงที่ทอแสงริบรี่อยู่ไกลๆ จันทร์ข้างขึ้นทอแสงบางๆ มองไปไกลเห็นเพียงแสงไฟจากตึกสูงๆ สลับซับซ้อนกัน เสียงรถรายังโกลาหล ท่อไอเสียรถบรรทุกบางคันกระหึ่มเสียงอยู่ใกล้ๆ สลับกับเสียงแตร กลิ่นคลุ้งจากน่านน้ำในคลองแสนแสบโชยมากับสายลมบางๆ เกลียวคลื่นในคลองยังคงม้วนตัวเบาๆ ซัดเข้าหาฝั่งคอนกรีต ผู้คนยังขวักไขว่ไปมากันชุลมุน..

เขายังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดิม เขานัดเพื่อนสนิทคนหนึ่งเอาไว้ นานแล้วไม่ได้เจอะเจอกัน ตั้งแต่เขาตัดสินใจย้ายออกจากหอพักย่านนี้เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว เขาและเพื่อนคนนั้นขึ้นมาเรียนมหา’ลัยแห่งหนึ่งในย่านนี้ ป่านนี้เพื่อนของเขาคงเกือบสำเร็จการศึกษาแล้ว เวลาสี่ปีมันไม่นานสักเท่าไหร่.. เขายังจำได้ดีอยู่หรอกเมื่อแรกเริ่มที่เดินทางเข้ามาเมืองกรุง เข้ามากันสองคน โดยสารรถไฟขึ้นมาจากปักษ์ใต้ หอบหิ้วข้าวของมามากมาย ถึงวันที่สมัครเรียน เริ่มเข้าเรียน จนถึงวันสอบปลายภาคในปีแรก เขาต่างตั้งใจมุ่งมั่นและทำตามความคาดหวังที่ดั้นด้นมา.. จนเมื่อเริ่มเข้าปีที่สอง บางอย่างเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะหอบหิ้วกระเป๋าเดินออกจากตรงนี้ไป ทิ้งเพื่อนเขาไว้เดียวดาย..

เวลา 21.30 น. ชายหนุ่มคนหนึ่งแหวกม่านฝูงชนเดินตรงมา เขาฉีกรอยยิ้มออกบางๆ เขาจำชายคนนั้นได้ดี เกือบสี่ปีที่แล้วยังผมสั้นเกรียนเหมือนๆ กัน หลายปีไม่เจอหน้า ชายหนุ่มคนนั้นกลับปล่อยผมตรงยาวจนถึงสะโพก หนวดและเคราพองามเหมาะเจาะกับรูปหน้า สวมเสื้อกล้ามสีขาว มีสร้อยคอลูกปัดหลากสีห้อยลงมาเกือบปลายหน้าอก นุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำจืดๆ สวมรองเท้าแตะสีขาว สะพายย่าม.. เขารีบลุกขึ้นมาจับมือให้สลามทักทายตามแบบอย่างมุสลิม.. "ไปอยู่ไหนมา" เพื่อนของเขาทักทาย ขณะดึงเก้าอี้ออกมาเตรียมหย่อนก้นลงนั่ง.. "เพิ่งกลับมาจากยุโรป..เมื่อเช้า" เขาถอดแว่นสีชาออก วางไว้ข้างถ้วยกาแฟ.. สีหน้าเพื่อนของเขางงๆ กับคำตอบที่ได้ กาแฟที่ใหม่ถูกสั่งมาวางตรงหน้าสหายทั้งสอง ผู้คนตรงริมทางเท้ายังเดินขวักไขว่เช่นเดิม ร้านกาแฟสลับลูกค้ามากหน้าหลายตา เสียงจอแจจากข้างบนหอพักดั่งสนั่นกว่าช่วงเย็น สองสหายนั่งคุยสับเพเหระ.. "ตกลงแกจะกลับมาทำเรื่องรักษาสภาพนักศึกษาไหมวะ" เพื่อนของเขาเอ่ยถาม "คงยังหรอก.. รอบนี้กะจะมาเยี่ยมแกเฉยๆ พรุ่งนี้จะลงไปกระบี่ ฉันกำลังจะเปิดร้านกาแฟกับเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่น ว่างๆ แกค่อยลงไปเยี่ยมแล้วกัน.."

เวลาเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ ยิ่งคึกคัก ด้วยเด็กหนุ่มที่ยังอัดแน่นไม่ว่างเว้น ริมทางเท้าฝั่งคลองแสนแสบเริ่มวาย ไม่พลุกพล่านเหมือนตอนกลางวัน เสียงรถราบนท้องถนนยังโกลาหลสิ้นดี ลมโชยมาเบาบาง ขณะ ดวงจันทร์เหนือท้องฟ้าเมืองกรุงดูหมองๆ แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องยังเจิดจ้า.. กลิ่นเหม็นชวนสำรอกจากกองขยะใต้สะพานมหาดไทยเริ่มโชยมากับสายลมบางๆ .. เขากับเพื่อนสะพายเป้และกีตาร์ เดินออกจากร้าน..


..............................................

มีนาคม 2554, เรือนศิลป์กะรักษ์

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น ลมตะวันออกและผ้าห่มที่เสียไป


เรื่องของฉันไม่น่าสนใจหรอก.. ก็แค่เรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับสิ่งที่ให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ และมันเพิ่งเสียไป ฉันไม่โทษตัวเอง แต่ก็อดที่จะหมั่นไส้เจ้าลมตะวันออกผู้รวนเรไม่ได้.. มันไม่เคยนึกสนใจความรู้สึกของผู้อื่นหรอก หรือมันอาจจะไม่มีหัวใจเลยด้วยซ้ำ มันคอยแต่พัดมา พัดมา แล้วก็พัดไป..

วันทั้งวันฉันมีอะไรให้ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ทั้งเรื่องจัดบ้าน ปลูกดอกไม้ประดับบ้าน ไปจนถึงหุงข้าวทำแกงในบ้าน..

แม่บอกฉันเกิดเป็นลูกผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การออกเรือหาปลาอย่างพ่อ แต่ควรอยู่กับบ้าน ดูแลและฝึกรับผิดชอบงานบ้านทั่วไป

บ้านของเราหลังไม่ใหญ่มาก เป็นบ้านไม้ที่ถูกสร้างให้ยื่นออกไปในลำคลอง หลังบ้านฝั่งตะวันออกมีระเบียงที่ยื่นออกมาเล็กน้อย มีรั้วสูงประมาณสะเอวของพ่อกั้นไว้ด้วยไม้ขนาดลำแขน เบื้องหลังระเบียงคือลำคลองที่มีน้ำขึ้นน้ำลง สายของมันเคี้ยวคดเหมือนงูใหญ่เลื้อยตัดป่าโกงกางก่อนออกสู่ทะเล ริมฝั่งคลองเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ฉันรู้จักเพียงไม่กี่ชนิด บางชนิดมีรูปร่างอัปลักษณ์ แตกต่างจากพันธุ์ไม้บกทั่วไป รากของมันที่ดูเก้งก้างไม่เป็นระเบียบ บางชนิดมีรูปทรงสูงใหญ่ ใบแข็งออกผลออกมาคล้ายส้มโอ แต่กินไม่ได้ บางชนิดคล้ายต้นหวายมีหนามเต็มต้นไปหมด

พืชพันธุ์ในป่าโกงกางมีมากมาย สัตว์น้ำก็หลากหลาย พวกมันอยู่ร่วมกัน ตรงชายเลนยามน้ำลง ฉันเห็นปูและปลาตีนอยู่เกลื่อนกราด พวกมันมีเยอะแยะมากมาย ส่วนในน้ำเมื่อมองจากระเบียงหลังบ้านแล้ว เห็นฝูงปลากระบอกมากมายว่ายเวียนวน พวกมันชอบเล่นผิวน้ำ ไม่เหมือนปลาชนิดอื่นๆ

ในลำคลองชาวบ้านหลายคนออกทำมาหากินตามคืนวันที่ผลัดเปลี่ยนและแตกต่างอยู่เสมอ พอถึงช่วงน้ำใหญ่หรือช่วงที่น้ำขึ้นสูง เช้าๆ ก็จะเห็นชาวบ้านหลายๆ คนพาเรือเล็กออกพร้อมไซดักปูในลำคลองและตรอกเล็กๆ ที่เข้าไปในป่า ช่วงน้ำตายหรือน้ำนิ่งๆ ก็จะมาตกปลา ดักอวนกัน ริมฝั่งคลองด้านทิศตะวันตกกระจัดกระจายไปด้วยแพปลา แต่ละห้องเลี้ยงปลาตัวโตๆ ดำผุดและเวียนว่ายอยู่เต็ม เวลาชาวบ้านนำเหยื่อมาโยนให้ พวกมันก็จะแย่งกัน บางตัวกระโจนเกือบพ้นผิวน้ำ..

หลังบ้านของเราก็เช่นกัน พ่อมีแพปลาอยู่สามห้อง เลี้ยงทั้งปลาเก๋าและปลากะพง ทุกๆ สามวันพ่อจะซื้อเหยื่อซึ่งเป็นพวกปลาทู ปลาทรายตัวเล็กๆ มาให้แม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และให้ฉันไปหว่านลงในแต่ละห้อง ปลาที่เลี้ยงไว้พวกนั้นตื่นเต้นน่าดูเวลาเห็นฉันหิ้วถังเหยื่อเดินข้ามแผ่นไม้บนแพปลาผ่านมา พวกมันทั้งกระโจน ดำผุดกันจ้าละหวั่น..

นอกจากเลี้ยงปลาแล้ว ในแพปลาเรายังสามารถเก็บสาหร่ายซึ่งงอกอยู่เต็มเนื้ออวนและสายสมอซึ่งยึดแพปลาไว้ ทุกๆ เช้าหากไม่มีงานอื่นๆ เข้ามาแม่และพ่อเลยสาละวนอยู่กับการเก็บสาหร่าย เราเก็บใส่เข่งได้วันละหลายกิโลก่อนนำส่งไปขายในตลาด

แต่ก่อนพ่อเคยออกไปลากอวนอยู่กลางทะเลบ่อย ไปทีละหลายๆ วัน กลับมาพร้อมปูปลามากมี พ่อไม่มีเงินพอจ้างลูกน้องมาช่วย แม่ก็เลยจำเป็นต้องร่วมทางไปกับพ่อ ฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อย จนชินกับการต้องรับผิดชอบตัวเองทั้งหุงข้าวหาปลา และเตรียมไปโรงเรียนในตอนเช้า ค่าขนมของฉันแม่ไม่เคยลืมหรอก ทุกครั้งแกจะหยอดกระปุกเก็บไว้บนหิ้งเหนือที่นอนให้ฉันควักมาใช้ได้ บางครั้งก็ไม่พอ หากวันไหนพ่อและแม่กลับเลยกำหนด เงินในกระปุกหมด ฉันก็งดไปโรงเรียน อยู่บ้านหุงหากับข้าวกินเอง หรือบางครั้งก็ฝากท้องไว้กับญาติๆ ข้างบ้าน

เดี๋ยวนี้พ่อหยุดออกทะเลมาสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะค่าน้ำมันเรือมันสูงขึ้น พ่อบอกมันไม่ค่อยคุ้มกับจำนวนปลาที่ได้มา ลำพังเรือเล็กๆ อย่างเราออกไปในทะเลใกล้ๆ หาปลาตามรอยคนอื่นจะไปคาดหวังอะไรมาก ดีหน่อยหรอกหากมันพลาดจากเรือลากอวนใหญ่มาติดอวนเล็กของเราบ้างก็ถือว่าโชคดีแล้ว

พ่อเลยกลับมาเอาดีกับแพเลี้ยงปลา ถึงต้องรอนานหน่อยกว่าจะจับมาขายได้ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องลงทุนมาก แค่สร้างแพขึ้นมาในระยะแรกๆ จากนั้นก็ต้องคอยทะนุบำรุงรักษาสภาพของมันอยู่เสมอ ส่วนพันธุ์ปลาที่เอามาเลี้ยงก็ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ เราทำไซปลาขึ้นเอง แล้วไปดักลูกปลาเก๋าและปลากะพงเอาในคลอง ได้ก็เอามาปล่อยและดูแลให้อาหารมัน..

นอกเหนือจากเลี้ยงปลา พ่อกับแม่เลยมีเวลาทำอย่างอื่น.. เวลาหน้าน้ำใหญ่ พ่อก็จะดักไซปู หรือบางครั้งออกไปปากอ่าวเพื่อช้อนแมงกะพรุน ส่วนแม่ก็จะติดไปช่วยพ่อทุกครั้ง..

งานในบ้านทั้งหมดเลยตกมาอยู่กับฉัน.. หลังเรียนจบชั้นประถมมา ฉันเลยไม่ได้เรียนต่อ กลับมาอยู่บ้าน ดูแลงานบ้านระหว่างพ่อและแม่ออกไปทำงาน..

ฉันตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังจมอยู่หลังผืนป่าโกงกางทุกวัน ขณะพ่อและแม่เพิ่งจะออกเรือแหวกม่านหมอกสู่ปากอ่าว งานแรกของฉันคือการนำเหยื่อไปโปรยให้ปลาในแพ เสร็จจากนั้นก็กลับเข้ามากวาดบ้าน ซักผ้า และเสร็จภารกิจยามเช้ากับการเตรียมมื้อเที่ยงไว้รอพ่อและแม่ ซึ่งอาจกลับมาบ่าย หรือบางวันก็ถึงเย็น

ยามบ่ายน้ำขึ้นเอ่อล้นตลิ่ง แพปลาสูงขึ้นตามระดับน้ำ ปลาพวกนั้นกระโดดโลดเล่นอยู่ภายในเนื้ออวน พวกมันคงเริงร่ากับกระแสน้ำใหญ่ ลมตะวันออกพัดโชยให้ปลายยอดพังกาเอนไหว กระแสของมันพัดละลิ่วผ่านเข้ามาในบ้าน แฝงกลิ่นเลนคลุ้งอบอวล บางครั้งมันพัดโชยเข้ามาเบาๆ เอื่อยๆ แฝงความหนาว ชุ่มฉ่ำ กระทบผิวกายให้พอสดชื่น แต่บางครั้งมันโถมเข้ามาอย่างกับพายุพัดพาเศษใบไม้จากอีกฝั่งคลองลอยเคว้งคว้างกลางอากาศก่อนปลิวมาหล่นเพ่นพ่านเกลื่อนบริเวณบ้าน ฉันต้องคอยเก็บกวาดตามหลังอยู่ตลอด..

หน้าบ้านของเรามีต้นมะขามสูงใหญ่ ตรงบ่อน้ำใช้ข้างบ้านซึ่งห่างจากตัวบ้านประมาณสี่เมตร กิ่งก้านของมันแผ่ขยายคลอบคลุมตั้งแต่บริเวณบ่อน้ำไปคลุมหลังคาบ้านเกือบทั้งหลัง ฝักมะขามพวกนั้นกำลังสุกได้ที่ พอโดนลมกรรโชกแรงจนกิ่งก้านสั่นไหว ฝักพวกนั้นก็จะหล่นลงมาเกลื่อนโคนต้น บ้างพลัดหล่นลงในบ่อ ตรงหลังคา ทั้งบริเวณหน้าบ้านซึ่งเป็นลานทราย.. ฉันต้องคอยเก็บกวาดอยู่ทั้งวัน มันไม่ใช่มีแค่ฝักมะขาม แต่มันติดมาทั้งใบและกิ่งก้านที่ผุกร่อนกระจัดกระจาย..

ดีหน่อยกับฝักมะขามสุกพวกนั้น พอให้ฉันได้เพิ่มรายได้ช่วยครอบครัว ฝักสุกๆ นำมาแกะเปลือกออก ทำเป็นก้อนๆ ส่งขายร้านค้า.. ฉันจึงมีรายได้บ้าง.. แต่ปัญหาที่เจอะเจออยู่ทุกวี่วันคือพวกใบและกิ่งก้านเล็กๆ ที่มันตกลงไปในบ่อน้ำ และเกลื่อนอยู่บนลานทรายนั่นแหล่ะ ฉันต้องคอยเขี่ยมันขึ้นมาจากบ่อ เก็บกวาดลานทราย บางทีกิ่งใหญ่ๆ หล่นลงมาทับกระถางดอกไม้แตก หรือปลายช่อหัก..เห็นทุกทีเป็นต้องอารมณ์เสีย ลมตะวันออกพัดกรรโชกแรงทุกที มีทั้งเรื่องที่ดีและน่าเบื่ออยู่เสมอ..

วันหนึ่ง ฟ้าทั้งผืนดูโปร่งใส เห็นสีครามทั้งผืนถูกทาบทาจางๆ ด้วยหมู่เมฆสีหมอก แดดจ้าตั้งแต่ช่วงสาย น้ำในคลองขึ้นสูงด้วยตรงกับข้างขึ้นสิบห้าค่ำ มองป่าโกงกางเห็นสีเขียวสดชื่นเต็มที่ ลมโชยเข้ามาระเบียงบ้านเอื่อยๆ.. เสร็จภารกิจอย่างอื่นในบ้าน ฉันเลยนำผ้าห่มและปลอกหมอนจากห้องนอนออกมาซักตรงบ่อน้ำหน้าบ้าน เสร็จก็นำมาบิดไว้หมาดๆ ก่อนผึ่งแดดไว้ตรงรั้วระเบียงหลังบ้าน จากนั้นก็พาร่างเหนื่อยอ่อนของตัวเองมาหย่อนกายลงงีบหลับในบ้าน..

สักพักหนึ่งหรอก เสียงลมแรงระลอกใหญ่พัดกิ่งมะขามคำรามอยู่เหนือหลังคาบ้าน ทั้งกิ่ง ก้านและฝักมะขามหล่นกระทบหลังคาบ้านดังสนั่น ฉันรีบวิ่งออกมาหน้าบ้านเห็นทั้งฝักและใบของมันหล่นเกลื่อนกราดตามเคย มีเรื่องให้ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ฉันรำพึงเบาๆ

ฉันต้องเหนื่อยอย่างนี้อยู่เสมอ.. พ่อน่าจะตัดต้นมะขามเสียให้สิ้น.. ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องเหนื่อยอีกหลายๆ รอบ ลมตะวันออกก็เหมือนกัน มันพัดได้พัดดี พัดอยู่ได้ทุกวี่วัน บางวันโชยเข้ามาเบาๆ แฝงความหนาว กลิ่นอายผืนป่า เช่นนี้ น่าชื่นชมหน่อย หากเวลาไหนที่มันไม่รู้ไปโกรธใครแล้วมากรรโชก โถมซัดเอากับเราแบบนี้มันไม่ยุติธรรม.. ลมนิ่งลงแล้ว ฉันจับด้ามไม้กวาด ปัดกวาดลานทราย ขนกิ่งและใบของมันรวมไว้เป็นกอง ส่วนฝักของมันก็เก็บมาลงเข่งไว้แกะเปลือกออกในตอนเย็น..

เสร็จจากนั้น ถึงได้กลับมาหลังบ้าน.. ใจหาย ตรงรั้วระเบียงว่างเปล่า ฉันเพิ่งนึกออกว่า ผ้าห่มเคยพึ่งแดดอยู่ตรงนั้น.. ฉันรีบเดินมาดูหลังรั้วระเบียง.. ผ้าห่มของฉัน.. มันลอยเด่นอยู่เหนือผิวน้ำ..ทั้งผืนกางออกแผ่ขยายกระเพื่อมไปตามแรงน้ำ ปลายของมันด้านหนึ่งติดอยู่กับสายสมอแพปลา ปลากระบอกฝูงหนึ่งกำลังว่ายวนเวียนไปมารอบๆ ผืนผ้าห่ม บางตัวฉกเฉียวเล่นอย่างกับผ้าห่มของฉันกลายเป็นของเล่นใหม่ของมัน.. ฉันควรทำเช่นไรดี..

เย็นลงแล้ว.. ฟ้าฝั่งตะวันออกทอสีชมพูจางๆ เจือด้วยหมู่เมฆสีขาวปนคล้ำ ป่าทั้งผืนสงบนิ่ง น้ำในคลองไหลลงเชี่ยวกรากกลับคืนสู่ทะเล บริเวณที่ผ้าห่มของฉันตกลงไปเริ่มแห้งขอด..ผ้าห่มยังอยู่จุดเดิม มันวางอยู่บนดินเลน ซึ่งเริ่มมีปูก้ามดาบบางตัวไต่วกวนไปมา คราบโคลนตมเปื้อนอยู่เต็มผืน..

พ่อและแม่กลับมาตอนเย็น เห็นฉันหน้าตาเศร้า จึงเอ่ยถามถึงสาเหตุ ฉันบอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อเพียงยิ้มบางๆ ลูบหัวฉันเบาๆ ปล่อยมันไปเถิดลูก เดี๋ยวค่อยหาใหม่ ผ้าอมน้ำทะเลและรอยเปื้อนดินเลนเช่นนี้เราไม่ควรนำกลับมาใช้ เดี๋ยวมะรืนนี้มีตลาด ค่อยให้แม่หาซื้อผืนใหม่ให้

ฉันเสียใจและนึกเคืองเจ้าลมตะวันออกตัวแสบอยู่ลึกๆ มันน่าเจ็บใจจริงๆ ทุกๆ วันมันทำให้ฉันมีเรื่องต้องเหนื่อยอยู่เสมอ อีกทั้งวันนี้มันยังพรากของใช้ของฉันไปอีก ฉันนึกโกรธมันจริงๆ

หลายวันผ่านไป ผ้าห่มผืนนั้นยังคงอยู่จุดเดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน ยามน้ำขึ้นมันก็จะลอยสูงขึ้นตามระดับน้ำมาล่อตาล่อใจฉันให้นึกหมั่นไส้เจ้าลมตะวันออก พอน้ำลงมันก็จมขี้ปลักชายเลนอยู่ตรงจุดเดิม..ฉันนั่งมองมันด้วยหัวใจอิดโรย..ฉันเสียมันไปแล้ว..

เรือนศิลป์กะรักษ์, มีนาคม 2554

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554